วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความในใจ ตอนที่ 7 : ปฏิญญาใจของฉัน

ปฏิญญา หมายถึงการให้คำมั่นสัญญาหรือแสดงการยืนยันโดยถือเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความสุจริตใจเป็นที่ตั้ง สำหรับปฏิญญาใจของฉันเมื่อหลายปีมาแล้วมีทั้งสิ้น 108 ข้อ บางข้อก็ทำได้ แต่บางข้อก็ยังทำไม่สำเร็จ สำหรับปีใหม่ 2555 นี้ จึงได้กำหนดปฏิญญาใจใหม่ ดังนี้


1. จะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่ชราจนกว่าชีวิตจะหาไม่

2. จะต้องทำบุญตามสมควร

3. จะต้องไม่สูบบุหรี่

4. จะต้องไม่ดื่มสุราเมรัยรวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด

5. จะต้องไม่เล่นการพนัน

6. จะต้องไม่เที่ยวกลางคืน

7. จะต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด

8. จะต้องสะสมหนังสือเพื่อจะทำเป็นห้องสมุด

9. จะต้องสะสมต้นไม้เพื่อจะทำสวนพฤกษชาติ

10. จะต้องใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

11. จะต้องสะสมแผ่นซีดี วีซีดี และดีวีดี (เพลง ภาพยนตร์ วิดีโอ และซอฟต์แวร์)

12. จะต้องศึกษาวิชาไสยศาสตร์ พุทธศาสน์ เกษตรศาสตร์ คอมพิวเตอร์

13. จะต้องทำสมาธิให้ได้ทุกวันหรือเกือบทุกวัน

14. จะต้องสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานจิต และแผ่เมตตา

15. จะต้องเก็บเงินให้ได้อย่างน้อย 2 ล้านภายในเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2554-2559)

16. จะต้องไปหาดใหญ่อย่างน้อยปีละ 3 ครั้งเพื่อไปหาหมอ

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความในใจ ตอนที่ 6 : ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

อโรคยา ปรมา ลาภา พุทธศาสนาสุภาษิต บทนี้ แปลว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นความจริงแท้เลยทีเดียว ถ้าคนเราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเลยจะถือว่าเป็นโชคอย่างยิ่ง โรคในที่นี้หมายถึงโรคทางกายและโรคทางใจ


ฉันเป็นคนขี้โรค มักจะเจ็บป่วยบ่อย ที่หนักมาก เมื่อเดือนตุลาคม 2533 อาการที่เริ่มเป็นก็คือ มีผื่นแดงขึ้นเต็มหน้า ฉันเริ่มเป็นโรคแพ้ภูมิต้านทานตัวเอง หรือโรคลูปัส ( Lupus) เป็นชื่อที่ใช้เรียกโรค Systemic Lupus Erythematousus (SLE) หรือโรคเอสแอลอี (ซึ่งมาจากตัวอักษรแรกของชื่อโรค) บางคนอาจเรียกว่าโรคแพ้ภูมิตนเอง หรืออาจเรียกชื่อตามภาษาชาวบ้านว่า โรคพุ่มพวง เพราะคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นโรคนี้จนเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น

โรคลูปัสเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติในระบบภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันที่ไม่สามารถจดจำเนื้อเยื่อของร่างกายตนเองได้ คิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างภูมิต้านทานมาทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายตนเอง โรคนี้สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติได้ในทุกอวัยวะของร่างกาย

ฉันรักษาโรคแพ้ภูมิต้านทานตัวเองที่คลินิกหมอรุ่งโรจน์ ในอำเภอสุไหงโก-ลก หมอจะให้ยากดภูมิต้านทานซึ่งมีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม และจะมีผลข้างเคียง 3 ประการคือ ทำให้บวม กระดูกผุ และกัดกระเพาะอาหาร จนถึงปี 2536 ฉันมีอาการบวม ฉันจึงไปรักษาที่คลินิกหมอสมพงค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หมอจึงเปลี่ยนยาใหม่โดยไม่ใช้สเตียรอยด์ และในปี 2536 นี้เอง ที่ฉันเอาโต๊ะทำงานกลับมาที่บ้านเพื่อที่จะตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ ฉันยกโต๊ะเอง ปรากฏว่ากระดูกสันหลังลั่นดังกร็อบ รู้สึกปวดหลังขึ้นมาทันที ฉันจึงไปหาหมอสมพงค์ หมอแนะนำว่าให้ไปเอ็กซเรย์ ผลปรากฏว่า กระดูกสันหลังยุบตัวลง 3 ข้อ เป็นผลให้เป็นคนหลังงอ และปวดหลังเป็นอย่างมาก ช่วงนั้นฉันไม่ได้สอนหนังสือตั้งแต่ปี 2536-2540 มาเริ่มต้นสอนคอมพิวเตอร์นักเรียนชั้น ป.6 ในปี 2541 ซึ่งอาการปวดหลังทุเลาลงมากแล้ว

ฉันมาคิดได้ว่า จากการที่ปวดหลังเป็นอย่างมากนั้น เป็นกรรมเก่าที่ทำไว้กับหอยทาก เมื่อสมัยเป็นเด็ก ชอบจับหอยทากมาทุบด้วยจอบให้เปลือกแตก แล้วให้เป็ดกินเป็นอาหาร ทุกวันนี้จึงไม่อยากทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกแล้ว ถ้าเราไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ก็จะเป็นคนที่ไม่มีโรค

เพลงพรปีใหม่

สวัสดี วันปีใหม่พา ให้บรรดา เราท่านรื่นรมย์


ฤกษ์ยามดี เปรมปรีดิ์ ชื่นชม ต่างสุขสม นิยม ยินดี

ข้าวิงวอน ขอพร จากฟ้า ให้บรรดา ปวงท่าน สุขศรี

โปรดประทานพร โดยปรานี ให้ชาวไทย ล้วนมี โชคชัย

ให้บรรดา ปวงท่านสุขสันต์ ทุกวัน ทุกคืน ชื่นชมให้สมฤทัย

ให้รุ่งเรือง ในวันปีใหม่ ผองชาวไทย จงสวัสดี

ตลอดปี จงมี สุขใจ ตลอดไป นับแต่ บัดนี้

ให้สิ้นทุกข์ สุขเกษม เปรมปรีดิ์

สวัสดี วันปีใหม่ เทอญ

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ลิงก์เกี่ยวกับการประหยัด

ลิงก์เกี่ยวกับการประหยัด

http://hotfile.com/dl/138840892/0baff69/save-50.ppt.html
http://www.whatami.net/lum/lum21.html


ความในใจ ตอนที่ 5 : การประหยัด

สำหรับรายละเอียดของการประหยัด สามารถหาอ่านได้จากอินเทอร์เน็ต ดังที่ยกตัวอย่างจากลิงก์ต่อไปนี้ http://hotfile.com/dl/138840892/0baff69/save-50.ppt.html http://www.whatami.net/lum/lum21.html แต่จะขอแก้ไขบทความเพื่อชีวิต ของ เตชปญฺโญ ภิกขุ ที่ว่า เช่นเอาก้อนกรวดมาคั่วใส่เกลือกินกับข้าวต้ม นั้นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก ความจริงเป็นลูกคะน้าต่างหาก เวลาคนจีนกินกับข้าวต้มแล้วเมล็ดตกลงถ้วยจะมีเสียงดังคล้ายกับก้อนกรวด

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความในใจ ตอนที่ 4 : การพึ่งตนเอง

นับเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าคนเราไม่รู้จักการพึ่งตนเอง มัวแต่รอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ เป็นนิจ เราจะอยู่ในโลกนี้ยาก ดังมีพุทธศาสนสุภาษิตอยู่ว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ฉันสอบบรรจุครูองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2521 ติดสำรอง 1 ปี ได้บรรจุเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2522 เป็นครูโรงเรียนบ้านภูเขาทอง ตำบลภูเขาทอง กิ่งอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ด้วยตำแหน่งครู 1 ระดับ 1 ตอนอายุย่างเข้า 25 ปี ถือได้ว่าได้ทำงานช้ากว่าเพื่อน ๆ ใน รุ่นเดียวกันถึง 5 ปีทีเดียว โรงเรียนบ้านภูเขาทอง เป็นโรงเรียนเพิ่งเปิดใหม่ มีชั้น ป.1- ป.2 ฉันสอนชั้น ป.2 ส่วนชั้น ป.1 มีครูสุภาพสตรีซึ่งบรรจุไปพร้อมกันเป็นผู้สอน มีนักเรียนประมาณ 50-60 คน เป็นลูกหลานชาวอีสานทั้งหมด ฉันรักษาการในตำแหน่งครูใหญ่จึงต้องไปประชุม ณ ที่ว่าการกิ่งอำเภอสุคิริน ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร ถ้าไปทางลัดจะเหลือประมาณ 24 กิโลเมตร มีรถยนต์โดยสารวิ่งเพียงวันละเที่ยวเท่านั้น ถ้าพลาดรถโดยสาร ก็ต้องอาศัยโบกรถเอา หลายครั้งก็ต้องเดิน ฉันเคยเดินจากโรงเรียนไปที่ว่าการกิ่งอำเภอมาแล้วด้วยระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 5 ชั่วโมง 40 นาที ทำไมถึงต้องเดิน ฉันตื่นนอนแต่เช้ามืด เป็นเพราะนาฬิกาข้อมือตาย ฉันจึงคิดว่าเป็นเวลาใกล้จะตีห้าแล้ว จึงออกเดินจากบ้านพักเข้าทางลัดทางหมู่บ้านวังน้ำเย็น ไปทะลุออกที่โรงเรียนบ้านต้นทุเรียน (ปัจจุบันถูกยุบไปแล้ว) แล้วข้ามคลองไปขึ้นถนนสายสุคิริน-บ้านภูเขาทองที่หมู่บ้านไอปาโจใกล้กับโรงเรียนประชาสามัคคี (ปัจจุบันถูกยุบไปแล้ว) จากตรงนั้นไปถึงที่ว่าการกิ่งอำเภอจะมีระยะทาง 18 กิโลเมตร นั่นแสดงว่าเดินออกจากโรงเรียนมาเป็นระยะทาง 6 กิโลเมตรแล้ว ระหว่างทางที่เดินอยู่บนถนน มีรถยนต์แล่นผ่านมาผ่านไปไม่มากนัก แต่ไม่มีใครหยุดรับ ฉันจึงต้องพึ่งตนเองด้วยการตั้งใจว่า เมื่อไม่มีใครรับขึ้นรถ ฉันจะลองเดินให้ถึง ดูซิว่ามันจะถึงไหม ถ้าเรามีความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น เมื่อคิดได้อย่างนั้น จึงตั้งใจเดินไปเรื่อยจนถึงโรงเรียนนิคมพัฒนา 10 มีฝนตกระหว่างทางก็ยังไม่หยุด คงเดินตากฝนไปเรื่อย ๆ จนถึงหมู่บ้านกลันตัน นั่นแสดงว่าเหลืออีกประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะถึงที่หมาย แล้วเดินต่อไปจนถึงวัดสุคิรินและในที่สุดก็ถึงที่ว่าการกิ่งอำเภอ ดูนาฬิกาปรากฏว่าเป็นเวลา 8.30 น. เมื่อวิเคราะห์จากนาฬิกาข้อมือที่ตาย แสดงว่าเริ่มเดินออกมาจากบ้านภูเขาทอง เวลา 02.50 น. ใช้เวลาเดินทั้งกลางคืนและกลางวัน 5 ชั่วโมง 40 นาที จากระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร จากบ้านไอปาโจถึงที่ว่ากิ่งอำเภอสุคิริน เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร ฉันก็เคยเดินมาแล้ว จากโรงเรียนรักไทยถึงโรงเรียนบ้านภูเขาทอง เป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร ฉันก็เคยเดินมาแล้ว ถ้าเป็นระยะทาง 1 – 5 กิโลเมตร ฉันเดินมาหลายครั้งแล้ว เป็นเรื่องที่สบายมาก ฉันมีสถิติเคยจับเวลาดูแล้วระยะทาง 1 ชั่วโมง เดินได้ 5 กิโลเมตร ต่อจากนั้นชีวิตฉันก็ต้องผูกพันอยู่กับการเดินเท้าเรื่อยมา นั่นเป็นเพราะฉันขี่รถจักรยานยนต์ไม่เป็น ขี่รถจักรยานเป็นอย่างเดียว ปัจจุบันก็ยังไม่มีรถยนต์ แต่ฉันก็พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ รวมทั้งการพึ่งตนเองเป็นหลัก ถ้าเราอยากให้คนอื่นช่วยเรา เราก็ควรจะช่วยตัวเราเองก่อนเสมอ

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความในใจ ตอนที่ 3 : เหตุผลเบื้องลึกที่ขอเออร์ลี่

ฉันยังมีอายุราชการเหลืออยู่อีก 4 ปี ความจริงจะต้องเกษียณอายุราชการตอนอายุ 61 ปี ในปี พ.ศ. 2558 แต่ฉันชิงเออร์ลี่เสียก่อนเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2554 เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่เป็นโรคแพ้ภูมิต้านทานตัวเองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ประกอบกับคุณพ่อกับคุณแม่ก็ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนน้องชายก็อยู่วัด หลาย ๆ เดือนจึงกลับบ้านที่สุไหงโก-ลก ทำให้ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ลูกชายคนโตแต่เพียงผู้เดียวในการหาเลี้ยง นื่คือเหตุผลลึก ๆ ที่ขอเออร์ลี่ ลาออกแล้วได้อะไร 1. ไม่ต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงบประมาณ 2. ไม่ต้องเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ 3. ไม่ต้องรับผิดชอบเงินงบกลางของโรงเรียน 4. ไม่ต้องรับผิดชอบเงินชุมนุมสวัสดิการครูฯ 5. ไม่ต้องประชุมบ่อย ๆ 6. ความเครียดต้องน้อยลง สบายใจมากขึ้น 7. ไม่ต้องถูกนายด่า 8. ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่เช้าแล้วกลับบ้านค่ำ 9. ไม่ต้องสอนนักเรียน 10. ไม่ต้องพะวงกับการถูกติดตามงานอยู่เสมอ 11. ไม่ต้องทำข้อมูลสารสนเทศตั้งแต่ Smis M-obec B-obec O-bec ระยะที่ 2 12. รายรับน้อยลง เพราะได้บำนาญ 13. ไม่ต้องขาดทุนอยู่บ่อย ๆ 14. ไม่ต้องรับผิดชอบห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ 2 15. ไม่ต้องรักษาการแทน ผอ. 16. ไม่ได้ทำงานในห้องแอร์ 17. ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 18. ไม่ต้องเป็นที่ปรึกษาสายชั้น 19. ได้มีเวลาเป็นของตัวเองเสียที จะได้ทำอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะทำ เช่น ปลูกต้นไม้ ศึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 20. ไปไหนก็ได้ไม่ต้องลากิจ ไม่ลาออกแล้วได้อะไร 1. ต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงบประมาณ 2. ต้องเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ 3. ต้องรับผิดชอบเงินงบกลางของโรงเรียน 4. ต้องรับผิดชอบเงินชุมนุมสวัสดิการครูฯ 5. ต้องประชุมบ่อย ๆ 6. ความเครียดต้องมากขึ้น หนักใจมากขึ้น 7. ถูกนายด่าบ่อย ๆ 8. ต้องไปโรงเรียนแต่เช้าแล้วกลับบ้านค่ำ 9. ต้องสอนนักเรียน 10. ต้องพะวงกับการถูกติดตามงานอยู่เสมอ 11. ต้องทำข้อมูลสารสนเทศตั้งแต่ Smis M-obec B-obec O-bec ระยะที่ 2 12. รายรับมากขึ้นเพราะได้ขั้นพิเศษ 13. ต้องขาดทุนอยู่บ่อย ๆ 14. ต้องรับผิดชอบห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ 2 15. บางครั้งต้องรักษาการแทน ผอ. 16. ได้ทำงานในห้องแอร์ 17. ได้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 18. ต้องเป็นที่ปรึกษาสายชั้น 19. ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง 20. เมื่อมีธุระต้องลากิจ สรุปแล้วมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ตกลงใจถ้าเออร์ลี่ไม่ได้ ทำเรื่องขอลาออกแน่นอน และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า อนุมัติให้เออร์ลี่ได้

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความในใจ ตอนที่ 2 : งานอดิเรกของฉัน

คนเราย่อมมีสิ่งที่ชอบหรืองานอดิเรกไม่เหมือนกัน เรียกว่านานาจิตตัง ฉันก็มีสิ่งที่ชอบมากที่สุดอยู่ 4 อย่างด้วยกันคือ 1. ต้นไม้ เพราะฉันถือว่า มันเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ฉันจึงชอบปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ที่บ้านจึงมีทั้งว่าน สมุนไพร ไม้ดอกไม้ประดับ แต่ไม่มีไม้ผล นับรวมกันได้ทั้งหมด 160 กว่าชนิด ฉันจึงมีความฝันว่า ถ้าฉันมีที่ดินหลายร้อยไร่ ฉันจะทำเป็นสวนพฤกษชาติ แล้วตั้งชื่อว่า สวนพฤกษชาติพุทไธศวรรย์ 2. หนังสือ เพราะฉันถือว่า มันเป็นแหล่งสรรพความรู้และยังเป็นมิตรแท้ที่ดีที่สุดของมนุษย์ ฉันจึงชอบอ่านหนังสือเป็นชิวิตจิตใจ และอ่านได้ทุกประเภท ไมว่าจะเป็นนวนิยาย สารคดี เรื่องสั้น หรือเรื่องยาว นวนิยายจีนกำลังภายใน จำได้ว่าตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้อ่านหนังสือนวนิยายจีนกำลังภายใน เรื่องแรกก็คือ เรื่องนักสู้สลาตัน แต่อ่านไม่จบ โดยขอยืมมาจากสุกรี แซ่ลิ่ม เพื่อนในห้องเดียวกัน นอกจากนี้จึงชอบสะสมหนังสือแล้วจะทำเป็นห้องสมุด 3. คอมพิวเตอร์ เพราะฉันถือว่า มันเป็นตัวแทนของเทคโนโลยี ฉันจึงชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานด้านเอกสาร ใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อแสวงหาความรู้ที่อยู่บนโลกออนไลน์ เป็นแหล่งสรรพความรู้ได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังชอบสะสมวีซีดีและดีวีดีภาพยนตร์ ซีดีโปรแกรมและดีวีดีโปรแกรมไว้มากทีเดียว 4. เพลง เพราะฉันถือว่า มันเป็นตัวแทนของดนตรี ฉันจึงชอบร้องเพลงและฟังเพลง จึงชอบสะสมเพลงที่เป็นแผ่นซีดีและดีวีดีไว้มากเช่นกัน ทั้งที่เป็นเพลงลูกกรุง ลูกทุ่ง เพลงไทยทำนองจีน เพลงสากล และเพลงจีน ย้ำว่าต้องเป็นเพลงรุ่นเก่าเท่านั้น ไม่ชอบเพลงรุ่นใหม่ ฉันใช้งบประมาณหมดกับสิ่งที่ชอบไปมากหลายแสนบาท โดยค่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ จนกว่าความฝันของฉันจะเป็นจริงสักที คงจะอีกนาน

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความในใจ ตอนที่ 1 : การกู้หนี้ยืมสิน

"อิณา ทานัง ทุกขัง โลเก" การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก แต่ทำไมคนเราถึงชอบเป็นหนี้กันนัก นั่นเป็นเพราะการไม่รู้จักพอ ถ้าเรายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ชีวิตความเป็นอยู่ถึงจะไม่ร่ำรวย ก็สามารถอยู่ได้อย่างเป็นสุข ไม่เห็นจะต้องดิ้นรนให้เหนื่อยยากอยู่ทำไม การที่คนส่วนใหญ่ยอมเป็นหนี้เป็นสินย่อมมีสาเหตุมากจากหลายประการด้วยกัน เช่น 1. การใช้ชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ เห็นคนอื่นมีมากกว่าตนไม่ได้ เห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง รายได้ต่ำ แต่รสนิยมสูง ถ้าเป็นแบบนี้มีเท่าไรก็ไม่พอ ทางแก้ก็คือ ต้องใช้ชีวิตที่เรียบง่าย รู้จักมัธยัสถ์อดออม ไม่ฟุ่มเฟือยไม่ตามโลก พยายามทำให้มีรายรับมากกว่ารายจ่าย ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ถ้าจำเป็นต้องกู้เงินควรคำนึงถึงความจำเป็นให้มากที่สุด ไม่ใช่ว่า เห็นว่าสามารถหยิบยืมผู้อื่นได้ง่าย แล้วนึกจะออกปากยืมก็ยืมทันที 2. การเล่นการพนัน หวยเบอร์ทั้งที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมาย การพนันทุกประเภทไม่ได้ทำให้ผู้เล่นร่ำรวยเลย คนที่รวยก็คือเจ้ามือ การพนันจึงเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง ทางแก้ก็คือ ต้องตัดใจไม่เล่นโดยเด็ดขาด ต้องใจแข็งเข้าไว้ เมื่อเราไม่เล่นเสียอย่าง รายจ่ายเราก็ไม่รั่วไหล 3. การดื่มเหล้า เบียร์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด การดื่มสุราเมรัย ทำให้เกิดโทษมันจึงเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง ทางแก้ก็คือ ต้องถือศีลข้อ 5 4. การสูบบุหรี่ ทำให้เสียสุขภาพ เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ทางแก้ก็คือ ต้องไม่สูบบุหรี่ 5. การเที่ยวเตร่ หรือเที่ยวกลางคืน ก็เป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง ย่อมมีโทษ ทางแก้ก็คือ เที่ยวให้น้อยที่สุด หรือไม่เที่ยวเลยจะเป็นการดีที่สุด 6. การเที่ยวผู้หญิง เสียทั้งเงินและอาจได้โรคติดมาเป็นของแถม ทางแก้ก็คือ ให้พอใจในคู่ครองของตนเอง ถ้าเป็นโสดอยู่ควรเที่ยวอย่างระมัดระวัง 7. การคบเพื่อนฝูง อย่าลืมว่าเพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก ตามหลักศาสนาพุทธ มีมิตรแท้และมิตรเทียม ทางแก้ก็คือ ควรคบแต่มิตรแท้เท่านั้น ฉันมักจะรำคาญใจอยู่เสมอ เมื่อมีคนมาขอยืมเงินหรือกู้เงิน เพราะฉันถือคติว่า มีเงินมีทอง อย่าให้ผู้ใดกู้ มีความรู้อย่าให้อยู่แต่ในหนังสือ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะฉันเข็ดหลาบกับการที่ถูกลูกหนี้เบี้ยวฉันเสียหลายรายแล้ว พูดได้ว่าไม่ได้กำไรเลยกับการที่ให้ยืม มีแต่ตัวเองจะเข้าเนื้อ ความจริงฉันก็ไม่ได้ต้องการได้ดอกเบี้ย แต่ที่ต้องเอา เพราะต้องการชดเชยกับการขาดทุน และไม่มีหลักประกันหรือของค้ำเลย ส่วนคนที่เป็นลูกหนี้ก็ไม่รู้สึกร้อนหนาวว่าเจ้าของเงินเขาต้องการเงินคืน ช่างน่าไม่อายเสียจริง ๆ ถ้าฉันไม่ให้ ก็เป็นอย่างพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ยาจโก อปฺปิโย โหติ.” ผู้ถูกขอเมื่อไม่ให้สิ่งที่เขาขอ ย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ขอ เพราะว่าบางครั้งก็ไม่น่าจะให้ยืมเสียด้วย รู้จักกันแค่ผิวเผิน ก็ออกปากยืมเงินแล้ว ต่อไปฉันคงต้องไม่ใจอ่อนกับพวกนี้แล้ว และคงต้องมีหลักประกัน ใครจะว่าใจดำก็ต้องยอม ฉันเองก็ไม่ต้องการหยิบยืมเงินทองของใครอยู่แล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปขอยืมเงินใคร ถ้าเขาไม่ให้ก็ย่อมเป็นสิทธิของเขา ไม่ใช่ว่า เมื่อเอ่ยปากขอแล้ว กูต้องได้ทุกครั้ง มันไม่ใช่

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของฉัน

ฉันยังมีอายุราชการเหลืออยู่อีก 4 ปี ความจริงจะต้องเกษียณอายุราชการตอนอายุ 61 ปี ในปี พ.ศ. 2558 แต่ฉันชิงเออร์ลี่เสียก่อนเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2554 เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่เป็นโรคแพ้ภูมิต้านทานตัวเองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ประกอบกับคุณพ่อกับคุณแม่ก็ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนน้องชายก็อยู่วัด หลาย ๆ เดือนจึงกลับบ้านที่สุไหงโก-ลก ทำให้ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ลูกชายคนโตแต่เพียงผู้เดียวที่ต้องหาเลี้ยง อีกทั้งภาระงานที่ทำอยู่ที่โรงเรียนในฐานะหัวหน้ากลุ่มงานในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดนราธิวาสหนักมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดในวันที่ 1 ตุลาคม 2554